#วันป่าไม้โลก21มีนาคม
ป่าไม้ นับได้ว่าเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อมนุษย์โลกทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็น แหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่ให้มนุษย์ได้บริโภคใช้สอยและประกอบอาชีพด้านการทำไม้ การเก็บหาของป่า การผลิตไม้แปรรูป ซึ่งสร้างรายได้ให้กับประชาชนจำนวนมาก และที่สำคัญ ป่าไม้ ยังช่วยรักษาสมดุลทางธรรมชาติ รักษาต้นน้ำลำธาร และเป็นที่อยู่ให้กับสัตว์นานาชนิดอีกด้วย

แต่ในปัจจุบันการขยายตัวของประชากรโลกอย่างรวดเร็ว จึงเป็นแรงผลักดันให้เกิดการบุกรุกทำลายป่าไม้ เพื่อบุกเบิกพื้นที่ทำกิน และลักลอบตัดไม้ทำลายป่ามากมาย ทำให้ป่าไม้ลดลงอย่างน่าใจหาย ส่งผลให้ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในแต่ละปีทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

และเพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงคุณค่าและประโยชน์ของทรัพยากรป่าไม้ และช่วยกันอนุรักษ์ป่าไม้ไม่ให้ถูกทำลายมากไปกว่านี้ จึงมีการกำหนดให้ทุก ๆ วันที่ 21 มีนาคม เป็น วันป่าไม้โลก (World forestry day) ซึ่งจะมีการจัดกิจกรรมรณรงค์ต่าง ๆ มากมาย รวมถึงการปลูกป่าในวันนี้ด้วย

ทั้งนี้กรมป่าไม้ได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการบริหารจัดการป่าไม้ด้วยการสร้างแนวร่วมในการแก้ปัญหาและพัฒนาป่าไม้ โดยมุ่งเน้นให้ประชาชนเป็นศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น กล่าวคือการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดำเนินงานในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ร่วมคิด ร่วมหาข้อมูล ร่วมวางแผน ร่วมติดตามผล ร่วมกันบำรุงรักษา และร่วมกันรับผิดชอบต่อผลที่จะเกิดขึ้น พร้อมทั้งให้ความสำคัญต่อบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน รวมทั้งภาคส่วนต่าง ๆ จึงได้จัดกิจกรรมในงานวันสำคัญต่าง ๆ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับความสนใจและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี

ป่าไม้ หมายถึง บริเวณที่มีต้นไม้หลายชนิด ขนาดต่าง ๆ ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น และกว้างใหญ่พอ ที่จะมีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมในบริเวณนั้น เนื่องจากป่าไม้เป็นแหล่งอาหารที่สำคัญ ของทั้งคนและสัตว์ รวมไปถึงความสัมพันธ์ กับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ปัจจุบันนี้ป่าไม้ถูกทำลาย ไปเป็นจำนวนมาก ก่อให้เกิดผลกระทบต่าง ๆ ทั้งมนุษย์และสัตว์ เช่น ภัยธรรมชาติ และภาวะเรือนกระจก

โดยบนพื้นโลกมีป่าไม้ต่าง ๆ มากมายหลายชนิด ซึ่งแต่ละพื้นที่จะมีความแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ สามารถแบ่งป่าในโลกออกไปหลายชนิด คือ

1. ป่าศูนย์สูตร (Equatorial Rainforest) เป็นป่าที่มีต้นไม้สูงขึ้นเบียดกันหนาแน่น แสงแดดไม่สามารถส่อง ลงมาถึงพื้นดินได้ เป็นป่าไม้ที่มีใบกว้างไม่ผลัดใบ และจะพบไม้เลื้อย หรือไม้เถาพันหรือเกาะตามกิ่งก้านของต้นไม้เต็มไปหมด

2. ป่าร้อนชื้น (Tropical Rain Forest) มีลักษณะคล้ายป่าศูนย์สูตร จะปรากฏอยู่ด้านหน้าของภูเขา ที่ตั้งรับลมประจำที่พัดจากทะเลเข้าสู่ฝั่ง จึงทำให้สภาพเป็นป่าดงดิบ ซึ่งมีต้นไม้น้อยกว่าป่าศูนย์สูตร

3. ป่ามรสุม (Monsoon Forest) เป็นป่าไม้ที่มีต้นไม้ขึ้นอยู่ห่าง ๆ บริเวณพื้นดินจะมีไม้เล็ก ๆ ขึ้น แสงแดดสามารถส่องผ่านทะลุไปถึงพื้นดินได้ ซึ่งมักจะเป็นไม้ที่ผลัดใบ

4. ป่าไม้อบอุ่นไม่ผลัดใบ (Temperate Rainforest) เป็นป่าไม้ในเขตอบอุ่นที่มีใบเขียวตลอดปี มีพรรณไม้น้อยชนิด แต่ละชนิดจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่มขนาดและความสูงของต้นไม้เท่ากับป่าศูนย์สูตร

5. ป่าไม้อบอุ่นผลัดใบ (Temperate Deciduous Forest) เป็นป่าไม้ที่มีใบเขียวชอุ่มในฤดูร้อน แต่จะผลัดใบในฤดูหนาว ต้นไม้มีลำต้นสูงและมีใบขนาดใหญ่

6. ป่าสน (Needle Leaf Forest) เป็นป่าที่มีต้นไม้ลักษณะลำต้นตรง กิ่งสั้นใบเล็กกลมคล้ายเข็มเย็บผ้า มีต้นไม้ขึ้นเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่น และมีใบเขียวชอุ่มตลอดปี บริเวณพื้นดินแทบจะไม่มีต้นไม้เตี้ย ๆ ซึ่งต้นไม้ส่วนใหญ่เป็นไม้ตระกูลสนทั้งสิ้น

7. ป่าไม้เนื้อแข็งไม่ผลัดใบ (Evergreen Hardwood Forest) จะมีเป็นต้นไม้เตี้ย ๆ ลำต้นขนาดเล็ก ใบแข็ง และต้นมีกิ่งตั้งแต่ใกล้พื้นดิน จนถึงยอด ลักษณะคล้ายกับป่าไม้ผสมกับป่าละเมาะ (Scrub Forest)

8. ป่าสะวันนา (Savanna Woodland) จะเป็นป่าไม้ที่มีไม้ขึ้นอยู่ห่าง ๆ บริเวณช่องว่างระหว่างต้นไม้ใหญ่ ๆ จะมีไม้พุ่มขึ้นอย่างหนาแน่น มีสภาพอากาศค่อนข้างแห้งแล้ง จึงทำให้ต้นไม้ขึ้นไม่หนาแน่น

9. ป่าหนามและป่าพุ่มเขตร้อน (Thornbush and Tropical Scrubs) เป็นป่าที่มีต้นไม้ที่ทนต่อความแห้งแล้งและไม้พุ่ม ซึ่งพืชเหล่านี้สามารถทนต่อสภาพความแห้งแล้งที่ยาวนานและมีฤดูฝนสั้นๆ ได้ดี ส่วนป่าหนามนั้น จะเป็นไม้พุ่มที่มีหนาม และจะผลัดใบในช่วงที่ขาดแคลนน้ำ

10. ป่ากึ่งทะเลทราย (Semidesert Woodland) เป็นพืชพรรณที่ทนต่อความแห้งแล้ง ส่วนมากเป็นพวกไม้พุ่ม ตามพื้นดินของป่าชนิดนี้ จะมีวัชพืชหรือพืชต้นเล็ก ๆ ขึ้นอยู่น้อยมาก

11. พืชพรรณในทะเลทราย (Desert Vegetation) มักจะพบพืชที่มีใบเล็ก ๆ พืชที่มีหนาม ซึ่งเป็นพืชที่มีลำต้น สามารถเก็บน้ำไว้ใช้ได้เช่น ตะบองเพชร รวมทั้งมีพวกหญ้าแข็ง ๆ ขึ้นปะปนอยู่เป็นหย่อม ๆ

12. ป่าในเขตอากาศหนาว (Cold Woodland) เป็นพืชพรรณที่พบได้ในอากาศแถบขั้วโลกหรือเขตอากาศแบบทุนดรา ต้นไม้ที่ขึ้นมีขนาดเล็กมาก ต้นเตี้ยขึ้นอยู่ห่าง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นพวกไม้พุ่มเตี้ย ๆ พื้นดินเบื้องล่างปกคลุมด้วยมอส

อย่างไรก็ดี ป่าไม้ของแต่ละพื้นที่ทั่วโลก มีความแตกต่างกันสูง จึงทำให้มีการอนุรักษ์ที่แตกต่างกันไป ปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้ทั่วโลกยังคงเหลืออยู่ประมาณเพียงร้อยละ 30 ของพื้นที่โลกทั้งหมดที่เป็นพื้นดิน และมีแนวโน้มว่าจะลดลงเรื่อย ๆ ดังนั้น เราจะต้องช่วยกันอนุรักษ์ป่าไม้ และสอดส่องดูแลไม่ให้ต้นไม้ถูกตัดโค่นทำลายมากกว่านี้ เพื่อให้มีทรัพยากรป่าไม้อยู่คู่กับโลกตราบชั่วลูกชั่วหลาน